ภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ตามธรรมชาติ (innate immunity/ natural immunity) ภูมิคุ้มกันเเบบนี้มีมาตั้งเเต่เกิด โดยทารกที่มีอายุครรภ์ 5 สัปดาห์ จะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันได้เอง เเต่ยังสร้างได้น้อยมาก เนื่องจากเริ่มมีการเจริญของอวัยวะน้ำเหลือง 2. ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นภายหลัง (acquired immunity) เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังคลอดโดยแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 2. 1 ภูมิคุ้มกันก่อเอง (active immunity) เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดจากร่างกายได้รับแอนติเจน หรือเชื้อโรคที่อ่อนกำลังลงซึ่งไม่ทำอันตรายต่อสุขภาพ โดยนำมาฉีด กิน หรือทาที่ผิวหนัง กระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีหรือภูมิคุ้มกันขึ้น เช่น การฉีดวัคซีนไอกรน โปลิโอ วัณโรค ไทฟอยด์ เป็นต้น 2. 2 ภูมิคุ้มกันรับมา (passive immunity) เป็นภูมิคุ้มกันที่ได้มาจากการสกัดจากเลือดของสิ่งมีชีวิต แล้วนำมาฉีดให้ร่างกายต้านทานโรคได้ทันที เช่น เซรุ่มแก้พิษงู เซรุ่มโรคพิษสุนัขบ้า บาดทะยัก คอตีบ เป็นต้น หรือได้รับภูมิคุ้มกันจากเเท่ตังเเต่อยู่ในครรภ์ เเละเมื่อคลอดออกมาจะได้รับภูมิคุ้มกันจากน้ำนมเเม่ แต่ภูมิคุ้มกันในน้ำนมเเม่จะลดลงหลังจากคลอดได้ 6 เดือนจึงทำให้ทารกติดเชื้อได้ง่ายในระยะนี้ Return to contents 1.
การเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่เป็นการให้ภูมิคุ้มกันแก่ทารกเปรียบเทียบได้กับข้อใด (A-net' 49) 1. การฉีดวัคซีน 2. การฉีดซีรัม 3. การฉีดทอกซอยด์ 4. การเล่นกับเพื่อนที่เป็นโรคติดต่อ ตอบ 2 ใช่มั้ยคับ 2. การรณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ในระยะหลังคลอด เนื่องด้วยเหตุผลสำคัญในข้อใด (A-net' 49) 1. น้ำนมแม่มีโปรตีนสูง 2. น้ำนมแม่ไม่มีเชื้อโรค 3. น้ำนมแม่มีแอนติบอดี 4.
ทางเพศสัมพันธ์ 2. ทางการให้เลือด 3. ทางการใช้เข็มฉีดยาและกระบอกฉีดยาร่วมกันในพวกที่ติดยาเสพติดที่ฉีดเข้าเส้นเลือด 4. ทางแม่ที่มีเชื้อโรคเอดส์สู่ลูกในครรภ์ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ เนื่องมาจากแอนติเจนที่เข้าสู่ร่างกายไปกระตุ้นให้มีการหลั่งสารเคมี พวกฮิสตามีน (histamine) ซึ่งจะไปทำให้เกิดอาการบวมแดง หรือเป็นผื่นคัน หัวเรื่อง และคำสำคัญ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลิขสิทธิ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท. ) สาขาวิชา/กลุ่มสาระวิชา ชีววิทยา กลุ่มเป้าหมาย นักเรียน ดูเพิ่มเติม เพิ่มในรายการโปรด
ระบบผิวหนัง ( Intergumentary System) ทำหน้าที่ห่อหุ้มปกคลุมร่างกาย ประกอบด้วยผิวหนัง ( Skin) และอวัยวะที่เปลี่ยนแปลงมาจากผิวหนัง เช่น ขน ผม เล็บ ต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำมัน 2. ระบบกล้ามเนื้อ ( Muscular System) ทำหน้าที่ช่วยทำให้ร่างกายเกิดการเคลื่อนไหว 3. ระบบโครงกระดูก ( Skeletal System) ทำหน้าที่ทำงานร่วมกับระบบกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นโครงร่างของร่างกายอีกด้วย 4. ระบบหมุนเวียนโลหิต ( Circulatory System) ทำหน้าที่นำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซด์กับของเสียจากเซลล์มาขับทิ้ง นอกจากนี้ ยังนำฮอร์โมนที่ผลิตได้จากต่อมไร้ท่อเพื่อส่งไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย 5. ระบบหายใจ ( Respiratory System) ทำหน้าที่รับออกซิเจนจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายและนำคาร์บอนไดออกไซด์จากภายใน ออกมาขับทิ้งสู่ภายนอกร่างกาย โดยอาศัยระบบไหลเวียนโลหิตเป็นตัวกลางในการลำเลียงแก๊ส 6.
เสี่ยงต่อการเกิด "โรคอัลไซเมอร์" เซลล์สมองต้องการพลังงานมาก และแน่นอนว่าสารที่ช่วยในการสร้างพลังงานให้กับเซลล์สมองได้ดีก็คือโคคิวเทนนั่นเอง นอกจากนี้โคคิวเทนยังช่วยต้านอนุมูลอิสระรอบๆผนังเซลล์ ไม่ให้เข้าไปทำลายดีเอ็นเออีกด้วย ดังนั้นการที่ร่างกายขาดโคคิวเทนจะทำให้เซลล์สูญเสียตัวช่วย สร้างพลังงาน ส่งผลให้สมองล้าและเสียหาย ก่อให้เกิดอาการของโรคอัลไซ เมอร์ในที่สุด ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official: @biopharm
แอพแชร์โน้ตสรุป Clearnote มีโน้ตสรุปมากกว่า 300, 000 เล่ม ทั้งระดับ ม. ต้น ม. ปลาย และมหาวิทยาลัย ให้โน้ตสรุปจาก Clearnote เป็นตัวช่วยในการเรียน ไม่ว่าจะเตรียมสอบที่โรงเรียน หรือสอบเข้ามหาลัย และยังสามารถถามคำถามเกี่ยวกับการเรียนได้ที่ Q&A อีกด้วย
ระบบต่อมต่าง ๆ ( glands System) ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน ( hormone) ซึ่งเป็นสารเคมีและของเหลวโดยทำงานร่วมกับระบบประสาทในการควบคุมปฏิกริยาการ เผาผลาญต่าง ๆ ในร่างกาย 8. ระบบย่อยอาหาร ( Digestive System) ทำหน้าที่ย่อยสลายอาหารที่รับประทานเข้าไปให้เป็นสารอาหาร และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 9. ระบบขับถ่าย ( Excretory System) ทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการให้ออกจากร่างกาย 10. ระบบสืบพันธุ์ ( Reproductive System) ทำหน้าที่สืบทอด ดำรงและขยายเผ่าพันธุ์ ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อไม่ให้สิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์