ได้สนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพดี พร้อมทั้งรณรงค์ให้ความรู้เรื่องของการออกกำลังกาย และการลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถไปกระตุ้นให้เกิดโรคดังกล่าวทั้ง 4 โรค ได้ง่ายขึ้น
2564 กรมอนามัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส. )
ปัญหาโรคอ้วน (Obesity disease) รายงานจาก World Obesity Federation ปี พ. ศ. 2565 พบว่าทั่วโลกมีคนเป็นโรคอ้วน ประมาณ 800 ล้านคน ในจำนวนนี้ 39 ล้านคน เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และอีกประมาณ 340 ล้านคน เป็นเด็กและวัยรุ่นอายุ 5-19 ปี สถิติพบคนไทยเสียชีวิตจาก"โรคหัวใจ" เฉลี่ยชั่วโมงละ 7 คน TCAS65 ศบค. ไฟเขียวเด็กติดโควิด-19 เข้าสอบได้ เช็กแนวทางปฏิบัติก่อนเข้าสอบ ขณะที่ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO รายงานว่า ในปี พ. 2559 ความชุก (prevalence) ของปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในผู้ใหญ่เท่ากับ 39% หรือมากกว่า 1. 9 พันล้านคน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศไทย ปัจจุบันคนไทยมีภาวะโรคอ้วนเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากมาเลเซีย และตัวเลขยังขยับขึ้นเรื่อยๆ โดยข้อมูลจากกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานความชุกของปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วนในผู้ใหญ่ ในปี พ. 2564 อยู่ที่ 47. 2% เพิ่มขึ้นจาก 34. 7% ในปี 2559 ซึ่งกรุงเทพมหานคร มีความชุกภาวะอ้วนลงพุงมากที่สุด (56. 1%) รองลงมาคือ ภาคกลาง (47. 3%), ภาคใต้ (42. 7%), ภาคเหนือ (38. 7%), และภาคอีสาน (28. 1%) ที่น่ากังวลคือเด็กก็พบปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ ในปี พ.
7% "โรคอ้วน (Obesity) เป็น 1 ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ชักนำไปสู่โรคอื่นๆ มากมาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไขมันพอกตับ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคข้ออักเสบ โรคภูมิแพ้ โรคภูมิต้านทานต่ำ โรคนอนไม่ดี โรคสมองเสื่อม เป็นต้น" หมอแอมป์ - นพ. ตนุพล วิรุฬหการุญ นายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก กล่าวไว้ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ยิ่งทำให้อันตรายของโรคอ้วนเด่นชัดขึ้น เพราะตัวเลขของผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ส่วนใหญ่มาจากประเทศที่มีอัตราส่วนผู้ป่วยโรคอ้วนสูง 'ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกแสดงให้เห็นว่า โรคอ้วนเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตและเจ็บป่วยรุนแรงจาก COVID-19 มากถึง 7 เท่า เมื่อเทียบกับคนสุขภาพแข็งแรง' คุณหมอแอมป์เน้นย้ำความสำคัญ โรคอ้วนกระทบเศรษฐกิจ โรคอ้วน ไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจอีกด้วย 13. 2% ของงบประมาณสาธารณสุขทั่วโลก คิดเป็นเงิน 9. 9 แสนล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 29 ล้านล้านบาท สูญเสียไปกับปัญหาน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ซึ่งเศรษฐกิจประเทศไทยก็โดนผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยปัญหานี้ก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็น มูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาท หรือ 1.
ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาโรคอ้วน (Obesity disease) รายงานจาก World Obesity Federation ปี พ. ศ. 2565 พบว่าทั่วโลกมีคนเป็นโรคอ้วน ประมาณ 800 ล้านคน ในจำนวนนี้ 39 ล้านคน เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และอีกประมาณ 340 ล้านคน เป็นเด็กและวัยรุ่นอายุ 5-19 ปี องค์การอนามัยโลก หรือ WHO รายงานว่า ในปี พ. 2559 ความชุก (prevalence) ของปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในผู้ใหญ่เท่ากับ 39% หรือมากกว่า 1. 9 พันล้านคน เป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศไทย ปัจจุบันคนไทยมีภาวะโรคอ้วนเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากมาเลเซีย และตัวเลขยังขยับขึ้นเรื่อยๆ โดยข้อมูลจากกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานความชุกของปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วนในผู้ใหญ่ ในปี พ. 2564 อยู่ที่ 47. 2% เพิ่มขึ้นจาก 34. 7% ในปี 2559 ซึ่งกรุงเทพมหานคร มีความชุกภาวะอ้วนลงพุงมากที่สุด (56. 1%) รองลงมาคือภาคกลาง (47. 3%), ภาคใต้ (42. 7%), ภาคเหนือ (38. 7%), และภาคอีสาน (28. 1%) และที่น่ากังวลคือเด็กก็พบปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ ในปี พ. 2564 ความชุกของโรคอ้วนและน้ำหนักเกินในเด็ก อายุน้อยกว่า 5 ปี อยู่ที่ 9. 07% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 5.
ของดีแบ่งปันโดยมูลนิธิสัมมาอาชีวะ ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดชนิดของโรคซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงานหรือเนื่องจากการทำงาน (ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ. ศ. 2550) ประกาศกระทรวงแรงงานฉบับนี้ จัดเป็นแม่แบบบัญชีรายชื่อโรคจากการทำงานของประเทศไทย ตามประกาศได้จัดแบ่งกลุ่มโรคจากการทำงานออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น โรคจากสารเคมี โรคระบบหายใจ โรคผิวหนัง โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ โรคมะเร็ง เป็นแนวทางที่ช่วยให้แพทย์ลงความเห็นวินิจฉัยโรคจากการทำงาน เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยและนำไปสู่การป้องกันโรคจากการทำงานได้ มูลนิธิสัมมาอาชีวะขออนุญาตแจกจ่ายไว้ เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ที่ทำงานทางด้านอาชีวอนามัยทุกท่านครับ เผื่อว่าจะนำไปใช้ในสถานประกอบการของท่านได้บ้าง ดาวน์โหลดได้โดยกดลิงค์ข้างล่างนี้เลยครับ ดาวน์โหลดประกาศกระทรวงแรงงาน
2547-2552 พบว่า แนวโน้มของผู้ป่วยด้วยโรคพิษจากสารละลายอินทรีย์มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี 2550 แต่หลังจากนั้นก็มีแนวโน้มลดลงในปีถัดมา (ดังภาพที่ 3) ที่มา:รายงานโรคพิษจากสารทำละลายอินทรีย์ (Organic solvent Poisoning) อ้างใน สรุปรายการการเฝ้าระวังโรค 2552 โดยข้อมูลในปี พ. 2552 พบว่า อาชีพที่ป่วยด้วยโรคนี้สูงสุดคือ อาชีพรับจ้าง 35 ราย (ร้อยละ 23. 64) รองลงมาคือ เกษตรกรรม 30 ราย (ร้อยละ 20. 27) และนักเรียน 11 ราย (ร้อยละ 7. 43) และ ไม่ทราบอีก 53 ราย (ร้อยละ 35. 81) 3. โรคปอดจากการประกอบอาชีพ โรคปอดเกิดจากการสูดเอาอณูของสารพิษเข้าไปข้างในทำให้เกิดการระคายเคือง หรือเป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจ ปอดจะถูกทำลายหรือเป็นพังผืดที่เนื้อปอด และสูญเสียการทำงานไปในที่สุด จากการรวบรวมข้อมูลย้อนหลังของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ปีพ. 2547 จนถึง ปีพ. 2552 พบว่า แนวโน้มของผู้ป่วยด้วยโรคปอดจากการประกอบอาชีพมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ดังภาพที่ 4) ที่มา:รายงานโรคปอดจากการประกอบอาชีพ (Occupational lung diseases) อ้างใน สรุปรายการการเฝ้าระวังโรค 2552 ทั้งนี้ โรคปอดยังจำแนกออกเป็นโรคปอดที่เกิดจากการทำงาน โดยการสัมผัสฝุ่นอนินทรีย์ เช่น ซิลิโคลิส และฝุ่นแร่อื่นๆ ดังมีข้อมูลผู้ป่วยดังนี้ 3.