การตั้งเป้าหมายในการทำงานช่วยให้คุณวางแผนการทำงานได้ดียิ่งขึ้น เมื่อคุณรู้ว่าจุดหมายปลายทางของคุณคืออะไร คุณก็จะสามารถออกแบบการเดินทางไปให้ถึงเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณได้วางเป้าหมายด้านการทำงานของคุณ คือ ต้องการจะเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาติ ดังนั้นคุณต้องวางแผนตั้งแต่การศึกษาว่าต้องจบการศึกษาในสาขาใดที่เกี่ยวข้อง ต้องเข้าไปทำงานในบริษัทตรวจสอบบัญชี และเก็บชั่วโมงการทำงานเท่าไหร่ ต้องผ่านการสอบวิชาการบัญชี ตามที่สภาวิชาชีพบัญชี กำหนดกี่วิช 2. การตั้งเป้าหมายในการทำงานช่วยให้คุณมีพลังในการทำงาน เพราะเป้าหมายคือสิ่งที่คุณปราถนาและต้องการ เป้าหมายด้านการทำงาน จึงเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีเมื่อคุณต้องพบกับอุปสรรคหรือปัญหาอะไรก็แล้วแต่ เพราะคุณรู้ดีว่าผลลัพธ์ที่ปลายทางเป้าหมายเป็นสิ่งที่คุณต้องการมากแค่ไหน 3. การตั้งเป้าหมายในการทำงานช่วยให้คุณพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ระหว่างทางที่คุณต้องทำตามแผนการเพื่อไปถึงเป้าหมาย คุณต้องประเมินดูเป็นระยะว่าคุณเข้าใกล้เป้าหมายตามที่ตั้งใจไว้ช้ากว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่ หากคุณทำตามเป้าหมายไม่ได้ตามที่วางไว้ คุณก็ควรที่จะถีบตัวเองขึ้นมา พัฒนาทักษะและความสามารถในตัวที่จำเป็นต่อการเดินตามเป้าหมายที่วางไว้ให้ได้นั่นเอง 4.
ทุกคนในองค์กรมีเป้าหมายอันเดียวกัน ทุกคนเข้าใจว่าอะไรคืองานสำคัญที่สุด (Top Priority) ในช่วงเวลานั้นๆ ของทั้งองค์กร ของทีม และของตัวเอง การวัดผลเป็นการส่งเสริมกำลังใจ ไม่ใช่จับผิด ช่วยสร้างกระบวนการทำงานที่ชัดเจนและวัดผลได้ สร้างวินัยและการโฟกัสในการทำงาน (ทำทีละงานและทบทวนอย่างสม่ำเสมอ) สร้างความโปร่งใส ทุกคนสามารถดู OKRs ของทุกคนได้ตั้งแต่ CEO ลงไปเลย ความสำคัญของการโปร่งใสคือเราจะเห็น OKRs ของเพื่อนร่วมงานด้วยว่าเราตั้ง OKRs ต่ำไปหรือสูงไปอย่างไร OKRs ขององค์กร มาจากไหน? แล้วใครเป็นคนตั้ง? การตั้ง OKR ส่วนใหญ่จะถูกกำหนดโดย Mission และ Vision ขององค์กร ดังนั้นในทุกๆ OKRs ที่ออกมาในแต่ละครั้งจึงมีความสอดคล้องกับ Mission และ Vision ขององค์กร โดย OKRs ขององค์กรจะถูกตั้งโดย CEO หรือ C Level ขององค์กร เป็นขั้นตอนการตั้ง OKRs ในระดับองค์กร แล้วเราควรวัดผล OKRs เมื่อไหร่? ระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการวัดผล OKRs ก็คือ 1 ไตรมาส ( 90 วัน) เพราะการตั้ง OKRs 1 ปีหรือยาวกว่านั้นมันนานเกินไป การทำธุรกิจในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเร็วจึงต้องมีการปรับและรีวิว OKRs กันถี่มากขึ้น เพื่อให้องค์กรสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ทันเวลา การกำหนด OKRs ในองค์กร แบ่งออกเป็น 3 ระดับ Company OKRs (ระดับองค์กร) เป็นเป้าหมายที่ให้ทุกคนในองค์กรมองเห็นภาพว่าเรากำลังไปในทิศทางไหน?
เป้าหมายในความเป็นครู Comments
SOCIAL GOAL หมายถึงเป้าหมายการทำให้เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ เช่น จำนวน Engagement (การมีส่วนร่วม) จำนวน Reach (การเข้าถึง) จำนวน Impression (การเห็นทั้งหมด) จำนวนการคลิก เป้าหมายทั้ง 2 เป้าหมาย ต้องสอดคล้องกันเสมอ!!
ตั้งเป้าหมายที่สร้างแรงกระตุ้น สร้างเป้าหมายที่ดีและสามารถกระตุ้นสมาชิกในทีมได้เสมอ หากเป้าหมายของคุณไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่แฝงไปด้วยความสนุก ความท้าทาย ก็จะทำให้สมาชิกในทีมสามารถนำไปพัฒนาตัวเองได้ด้วย โดยคุณสามารถแบ่งเป้าหมายออกมาเป็น 2 ประเภท เป้าหมายที่มีความท้าทายสูง เป้าหมายนี้มักจะเกิดในช่วงเวลาสั้น ๆ อย่างการทดลองอะไรใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยทำ หรือปัญหาที่ต้องการความร่วมมือของทุกคนในทีมเร่งแก้ไข เป้าหมายที่ยั่งยืน เป้าหมายนี้จะอยู่กับองค์กรมาตั้งแต่เริ่ม เพื่อรักษาคุณภาพชิ้นงาน คุณค่าขององค์กร และรักษามาตรฐาน 2.
นพดล ร่มโพธิ์ อยากเริ่มใช้ OKRs แล้ว จะเริ่มยังไงดี?
2. M-easurable (การวัดผล) การวัดผลช่วยให้ไม่หลุดจากเป้าหมายที่วางไว้ เช่น เเทนที่จะตั้งเป้าหมายในการเพิ่มผู้เข้าพักให้มากขึ้น เป็น กำหนดว่าในเดือนนี้ต้องมีคนเข้าพักอย่างน้อย 30 ห้อง คำถามที่ผู้บริหารควรพิจารณา คือ – สามารถวัดผลได้หรือไม่ อย่างไร? – พนักงานจะสามารถติดตามเป้าหมายของตัวเองได้อย่างไร? – พนักงานจะรู้ได้อย่างไรเมื่อบรรลุเป้าหมาย ใครช่วยได้บ้าง? 3. A-ttainable (การบรรลุเป้าหมาย) การตั้งเป้าหมายที่สามารถบรรลุได้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งผู้บริหารควรเป็นผู้ให้คำแนะนำกับคนโรงแรมในการวางเป้าหมายของงานตัวเองให้สอดคล้องกับเป้าหมายของโรงแรม และจะต้องประเมินแล้วว่าพวกเขาสามารถทำได้จริง เพราะถ้าเป้าหมายยากหรือหนักเกินไป อาจทำให้พนักงานรู้สึกหมดกำลังใจและไม่อยากทำในที่สุด คำถามที่ผู้บริหารควรพิจารณา คือ – พนักงานของคุณสามารถทำได้บรรลุเป้าหมายได้จริงหรือไม่? – มีอะไรบ้างที่สามารถขัดขวางไม่ให้พวกเขาไปถึงเป้าหมายได้? – พนักงานมีเวลาเพียงพอในการบรรลุเป้าหมายนี้หรือไม่? – พนักงานของคุณมีทักษะหรือเครื่องมือที่ต้องการแแล้วหรือไม่? 4. R-ealistic (ความเป็นจริง) การตั้งเป็นหมายที่ใหญ่เป็นสิ่งที่ดี อย่างไรก็ตาม ต้องคำนึงถึงความเป็นจริงว่าสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงในเวลาที่ตั้งไว้หรือไม่ เพราะถ้าตั้งไว้ใหญ่เกินไป จะทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนล้าเเละถอดใจไปก่อน ทางที่ดีคือตั้งเป้าหมายที่สามารถบรรลุได้ทีละอย่าง เพราะจะเป็นเเรงผลักให้พนักงานได้บรรลุเป้าหมายต่อไปที่ใหญ่ขึ้นได้ คำถามที่ผู้บริหารควรพิจารณา คือ – มีโอกาสเป็นจริงหรือไม่?
K. Pair ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการเงินคนหนึ่ง | นักลงทุนที่สนใจในหุ้นและอนุพันธ์เป็นพิเศษ | ชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจและเศรษฐศาสตร์มหภาค (ถ้าหากว่าบทความเป็นประโยชน์สามารถติดตามเราบน Facebook หรือ Twitter)